ตะลอนทัวร์เฉิงตู ง้อไบ๊ พระใหญ่เล่อซาน โชว์เปลี่ยนหน้ากาก
โปรดฟังอีกครั้ง!! ขณะนี้ชีพจรลงเท้าตามเวลาดวงดาวเฉียงไปทางทิศตะวันออกเหนือ 45 องศา บอกให้รู้ว่า...การตุเรงเป้ออกตะลอนทัวร์รับจ็อบเป็นไกด์สาวพร้อมลูกทัวร์ได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว!!
Cr. pixgood.com
ชำเลืองตาสำรวจแผนที่โลกบอกตำแหน่งของ ประเทศจีน ให้ทราบแน่ชัดอีกครั้ง ขอสารภาพว่าแม้จะดูเป็นผู้มีวิทยายุทธในการเดินทางมามาก แต่ก็นั่นล่ะ...ใครจะรู้เพราะบางสิ่งบางอย่างในสามโลกที่ไม่เคยระแคะระคาย บ่อยครั้งต่างก็รู้เห็นเป็นใจไม่ยอมส่งบัตรเชิญมาบอกกันให้รู้ล่วงหน้า และบ่อยครั้งความหวาดหวั่น ความน่ากลัว (ยิ่งกว่าผีอีเม้ย) และความสุข ต่างก็มักผสมโรงวิ่งผลัด 4 คูณ 100 เมตร กระโจนเข้าสู่สมอง จนชั้นเชิงอันห้าวหาญของมิกิเซโรงังได้เหมือนกัน
ตะลอนทัวร์เฉิงตู ง้อไบ๊
Cr. www.chinatourguide.com
กำลังฝันหวานเข้าเส้นก็มีมือนิ่มๆ มาสะกิด ให้ปรับเบาะที่นั่งให้ตรง ไม่ใช่ใครที่ไหน...แอร์โฮสเตสสาวสวยนั่นเอง ที่สุดแล้ว 06.30 น. ตามเวลาท้องถิ่น ก็มาถึงเมืองเฉิงตู ผ่านการตรวจคนเข้าเมืองเรียบร้อย ก็สหายรักตาหยีรับพาไปหม่ำ ติ๋มซำกับข้าวต้มร้อนๆ เติมพลังได้มากโข
คล้อยหลังจากเฉิงตูมุ่งหน้าสู่ง้อไบ๊ ใช้เวลา 2 ชั่วโมงกว่า ก็ถึงตีนเขา ก่อนจะขึ้นรถอีกคัน เพื่อให้คนที่ชำนาญทางพาลัดเลาะทางสูงชันขึ้นไปยังเป้าหมาย กว่า 2 ชั่วโมง ก็มาถึงด้านบนต่อด้วยการนั่งกระเช้าอีกทอดหนึ่ง โอยยย...ขอสารภาพว่าดัชนีขาสั่นจนควบคุมไม่ได้ มันหวิวๆ โหวงๆ บอกไม่ถูก ก็ตอนเด็กมิกิเคยคิดว่าตัวเองเป็นนางเอกหนังจีนเหาะเหินเดินอากาศได้ แอบไปปีนต้นมะม่วงหลังบ้านแล้วบินลงมา ผลที่ได้ก็คือต้องไปนอนแช่ในโรงพยาบาลหลายวัน ก็เลยเป็นปรปักษ์กับความสูงมาตั้งแต่บัดนั้น แม้ทัศนียภาพรอบด้านต่างพากันปลอบขวัญ แถมยังปล่อยให้สายลมเย็นบรรจงหอมแก้มซ้ายแก้มขวาอย่างไม่ถือเนื้อถือตัว แต่ก็นั่นล่ะขาของมิกิก็ยังสั่นเข้าเส้นอยู่ดี
ดีนะที่พอลงมามีอาหารแสนอร่อยบนความสูง 3,077 เมตร เตรียมไว้รองรับ ช่วยให้อาการปอดที่แหกกลับมาแนบสนิทกันเหมือนเดิม ก่อนจะแวะชม วัดหัวจ้วง ซึ่งเป็นที่ประดิษฐานของพระโพธิสัตว์ พระสมันตภัทร เลยต้องขอเข้าไปกราบขอพรกันหน่อย ก่อนกลับที่พัก
วัดเป้ากั๋ว - พระใหญ่เล่อซาน - โชว์เปลี่ยนหน้ากาก
สูตรของการตื่นวันนี้ 7-8-9 นานมากแล้วที่ไม่ได้ ตื่น 7 โมง ถือว่ากรุ๊ปนี้สบายจริงๆ ก่อนจะมุ่งหน้าสู่วัดเป้ากั๋วกับพระใหญ่เล่อซาน ซึ่งจากโรงแรมสู่วัดเป้ากั๋ว ใช้เวลาเดินเพียง 15 นาที พอทุกคนมายืนอยู่หน้าวัดอันศักดิ์สิทธิ์บวกกับความสวยงาม ก็กวักมือเรียกให้ทุกคนพร้อมใจยกกล้องมาถ่ายภาพอย่างจงใจ
ก่อนจะเข้าไปกราบไหว้พระ เตรียมมุ่งหน้าไปล่องเรือชมพระใหญ่เล่อซาน โดยใช้เวลานั่งรถ 40 นาที ครั้งนี้เรือที่มิกิกับลูกทัวร์นั่งเป็นเรือเอกชนลำใหญ่นั่งได้ 50 คน แต่ที่ตื่นเต้นมากนั่นคือคนขับเรือจะขับเรือไปจอดที่หน้าองค์พระให้ทุกคนได้ถ่ายรูป เนื่องจากถ้าเข้าไปใกล้มากๆ จะทำให้เราไม่สามารถถ่ายได้หมด แต่ทางเรือก็มีบริการถ่ายภาพให้ ใบละ 20 หยวน แต่ไปๆ มาๆ เหลือใบละ 15 หยวน
ความสุขกองโตเลยขยับขยายเพราะคำว่า ลดราคา พอตกบ่ายเราต่างมาช็อปปิ้งที่ ร้านหยก กับ สถานที่นวดฝ่าเท้าและบัวหิมะ ซึ่งสังเกตได้ว่าทุกคนยิ้มแย้มแจ่มใสกันถ้วนหน้า ต่อด้วยการชมโชว์อันลือชื่อของเมืองเสฉวนคือระบำเปลี่ยนหน้ากาก แต่ก่อนจะถึงไฮไลท์เปลี่ยนหน้ากากก็มีโชว์หลายอย่าง ซึ่งล้วนทำให้เราอึ้ง ทึ่ง เสียว ทั้งนั้น และแล้วโชว์ที่รอคอยก็มาถึง โชว์เปลี่ยนหน้ากาก ไม่น่าเชื่อว่าเพียงเสี้ยววินาทีผู้แสดงจะเปลี่ยนหน้ากากได้ไวและรวดเร็วขนาดนั้น นี่ถ้าใครมีโอกาส แนะนำว่าอย่าพลาดมาชมการแสดงโชว์นี้อย่างเด็ดขาดค่ะ
วังแพะเหลือง – ช้อปปิ้งถนนคนเดินชุนซีลู่
แน่นอนวันสุดท้ายของการเดินทางมาถึงแล้ว โปรแกรมช่วงเช้าคือ วังแพะเหลือง กับร้านผ้าไหม เราออกเดินทางจากโรงแรมกันตอน 08.30 น. วังแพะเหลืองไม่ไกลจากโรงแรมที่พักมากนัก แต่ด้วยความขี้เกียจเลยยังไม่รีบเข้าไป เพราะคิดว่าอยู่ใกล้แค่นี้เอง แหม...ที่ไหนได้การจราจรในเมืองเฉิงตู เช้าๆ ช่างวุ่นวายเยี่ยงเมืองใหญ่ในประเทศจีนเสียจริง รถติดนั่งแช่ชนิดริดสีดวงถามหากันไปเลย หลังจากฟันฝ่าการจราจรมาได้เราก็มาถึงวังแพะเหลือง ที่นี่นับเป็นวังที่ใหญ่ที่สุดในเมืองเฉิงตู ซึ่งถือว่าเป็นของลัทธิเต๋า ภายในวัดกว้างขวาง มีมุมให้เลือกได้ถ่ายรูปมากมาย จนทุกคนต่างสำราญกับการแชะ แชะ แชะ เกือบชั่วโมง
พอตกบ่ายเรามาเดินกันที่ถนนคนเดินชุนซีลู่ ย่านสินค้าวัยมันส์ อารมณ์คล้ายสยามสแควร์บ้านเรา ใช้เวลาเดินกันยาวๆ 4 ชั่วโมงครึ่ง จนเงินในกระเป๋าถูกปล้นไปพร้อมสินค้ากระจุกกระจิกเกือบหมด ต่อด้วยการเดินชิมกินตลอดทางจนพุงย้อย จน 18.30 น. ก่อนนัดแนะรวมพลเดินทางสู่สนามบิน เพื่อเหินฟ้ากลับสู่กรุงเทพฯ 02.00 น. คือเวลาที่เรามาถึง (ใช้เวลาเดินทาง 2 ชั่วเมง 30 นาที) ..ถามว่าเหนื่อยไหมก็เหนื่อย เพลียไหมก็เพลีย แต่ดัชนีความสนุกมันกลับพุ่งทะยานวัดระดับความสูงยิ่งกว่าหอไอเฟลซะอีก
ก็นั่นสินะ...มิตรภาพที่ “จีน” กับ “ไทย” มีต่อกันมันยาวเท่ากำแพงเมืองจีนเห็นจะได้ ก่อนจะค่อยๆ เติบใหญ่ ด้วยปุ๋ยแห่งความใส่ใจ รอยยิ้ม และการแบ่งปันช่วยเหลือ เช่นนี้แล้วการไปเยือน “จีน” ทุกครั้งจึงไม่ขัดเขินที่สหายรักอย่าง “ความสุข” จะสะกดรอยตามกลับมาด้วยเสมอ!!
แชร์ บทความนี้
พูดคุย เกี่ยวกับบทความนี้