รีวิวเฉิงตู 2024 ฉบับละเอียดยิบ อ่านแล้วเหมือนได้ไปเอง
มาแล้วจ้า! มาแล้ว รีวิวทริปเที่ยวเฉิงตูที่ทุกคนรอคอย (ใครจะรอบ้างเนี่ย) วันนี้จะพาทุกคนไปซอกแซกทั่วเฉิงตู ถ้าจะถามว่าที่เฉิงตูมีอะไรน่าสนใจ ขอบอกเลยว่ามีเยอะมว๊ากก เฉิงตูถือเป็นเมืองที่ชาวจีนเลือกที่จะมาพักผ่อนเป็นอันดับต้นๆ และก็ว่าได้ เราแอบเเต่งคำขวัญประจำเฉิงตูมาด้วยหละ รูปภาพเราเรียงตามไทม์ไลน์ที่ไปเลยนะจ๊ะ ภาพจริง ข้อมูลจริง ไม่อิงอะไร อ่านแล้วเที่ยวตามได้เลย
"แหล่งกำเนิดหมีแพนด้า ศึกษาเรื่องสามก๊กกัน
หนาวนี้ที่อุทยานสวรรค์ นามนั้นคือต๋ากู๋ปิงชวน"
เริ่มต้นเดินทางกันที่สนามบินสุวรรณภูมิ สายการบินที่เราเลือกเดินทางคือสายการบิน “LUCKY AIR” ดูแล้วไม่ค่อยมีรีวิวสายการบินนี้สักเท่าไหร่ก็เลยจะมาบอกให้รู้กัน สายการบินชั้นนำสัญชาติจีน เป็นสายการบินแบบ Low Cost แต่การบริการไม่ได้ Low ตามนะจ๊ะ ดูบรรยากาศบนเครื่องซะก่อน ที่นั่งกว้างขวางแต่เนื่องจากเป็นทริป Low Cost ต้องออกตัวไว้ก่อนว่าบนเครื่องไม่มี ไวไฟหรืออะไรนะ มีน้ำเปล่าขวดนึง แต่นั่นไม่ใช่ปัญหาสำหรับการเดินทางเลย ที่สำคัญไฟล์ทของสายการบิน LUCKY AIR เค้าตอบโจทย์มากสำหรับสายใจร้อนและสายอยากเที่ยวแบบกะทันหัน เพราะไฟล์ทที่บินไปเฉิงตูมีทุกวัน วันละ 1 เที่ยว เกิดอยากจะไปวันธรรมดาก็ไปได้เลยค่าาา
07.50 .. ถึงซักที เย้!!
รีวิวเฉิงตู 2024 เมืองโบราณเจียจือ
กองทัพต้องเดินด้วยท้อง แวะเติมพลังแล้วลุยกันโลดด
มาถึงเป้าหมายแรกของเรา นั้นก็คือ.."เมืองโบราณเจียจือ" ซึ่งก็มีความโบราณแต่คงกลิ่นอายแห่งวัฒนธรรมเฉิงตูได้เป็นอย่างดี ราวกับไปยืนอยู่สมัยสามก๊กเลยก็ว่าได้ (เวอร์ไปนิด) เมืองโบราณแห่งนี้มีอายุมากกว่า 1,000 ปี ตั้งอยู่ใน เมืองฉ่งโจว ที่นี่เป็นเมืองที่มีกลิ่นอายของวัฒนธรรมชนบท บ้านไม้รอบๆ เมืองมีคลองที่คอยหล่อเลี้ยงชีวิตชาวเมือง และ สะพานไม้กระดานที่ชาวบ้านใช้ในการข้ามคลอง นอกจากนั้นยังมีวัดที่มีคุณค่าทางประวัติศาสตร์หลายแห่งอีกด้วย
หลังจากนั้นเราก็ลุยต่อโดยสถานที่ต่อไปคือวัดปู่เจ้าเอ้ย "วัดผู่เจ้า" นั้นเอง วัดแห่งนี้สร้างขึ้นในสมัยราชวงศ์หยวน ต่อมาช่วงปลายราชวงศ์หมิงระหว่างสงครามได้เกิดไฟไหม้จนกระทั่งในสมัยราชวงศ์ชิง ได้ใช้เวลาในการบูรณะซ่อมแซมกว่า 205 ปี มีพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์มากมาย ถือเป็นวัดที่มีความก้าวหน้าทางด้านวิชาการใช้ในการศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับวิถีชีวิต รวมไปถึงวัฒนธรรมของพระพุทธศาสนาในช่วงราชวงศ์ชิง และวัดนี้มีชื่อเสียงมากในหมู่ดาราผู้กำกับ ดัง จากฮ่องกง, นักธุรกิจและผู้บริหารอาทิ เช่น "เฉินหลง" ซึ่งมากราบไหว้เป็นประจำทุกปี
เมืองเม่าเสี้ยน
ถัดจากนั้นหลังจากที่อิ่มบุญแล้วเราก็ได้เดินทางต่อไปยังเมืองเม่าเสี้ยน ซึ่งประชากรของที่นี่ส่วนใหญ่เป็นชนเผ่าเชียง ไฮไลท์ของที่นี่คือ เป็นแหล่งเพาะพันธุ์หมาแพนดี้ หมีแพนด้าตัวอ้วนกลมนั้นเอง ดูแล้วอยากจะเอากลับบ้านเสียจริงๆ ซึ่งเมืองนี้จะเป็นที่พักของเราในคืนแรกนะจ้า หลังจากที่เที่ยวจนหมดแรง ก็ได้เวลาพักทานข้าวเย็น และพักผ่อนเตรียมพร้อมสู่วันต่อไป..
อุทยานสวรรค์ภูผาหิมะการ์เซีย ต๋ากู่ปิงชวน
ตื่นเช้าขึ้นในวันที่ 2 ก็เพิ่มพลังด้วยการรับประทานอาหารเช้ากันก่อน และเดินทางสู่อำเภอเฮยสุ่ยเมืองอาป้า ซึ่งเป็นพื้นที่ใกล้กับเขตปกครองตนเองซีจ้าง (ทิเบต) ที่ตั้งของธารน้ำแข็งอุทยานสวรรค์ภูผาหิมะการ์เซีย ต๋ากู่ปิงชวน พระเอกของทริปนี้นั้นเอง จากเมืองเม่าเสี้ยนใช้เวลาเดินทางประมาณ 3 ชั่วโมง ก็หลับๆ ตื่นๆ ไปบ้างอะเนาะ
ก่อนจะขึ้นไปพิชิตธารน้ำแข็งที่ไม่เคยมีใครพิชิตได้ (ชาวบ้านเขาเล่ากันมาอย่างนั้น) ก็ต้องแวะกินอาหารต้านทานความหนาวกันก่อนไปสิถึงจะดี เอาหละกินข้าวอิ่ม กระเพาะพร้อม เราพร้อม! ระหว่างทางขึ้นเขา เป็นที่ตั้งของทะเลสาบและน้ำตกมากมาย อาทิเช่น ทะเลสาบจินโหว ทะเลสาบต๋ากู่ ก็สวยไม่ต่างกัน แต่ที่เห็นอยู่ในภาพคือ ทะเลสาบลิงขนทองจ้า
ที่แห่งนี้คือพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ของชาวทิเบต ต้องเกริ่นก่อนว่าที่นี่ถือเป็นเส้นทางใหม่ ทำให้หารีวิวเฉิงตูได้น้อยมาก เพราะเพิ่งเปิด ถึงชื่อจะเป็นธารน้ำแข็งแต่ก็อย่าลืมว่าเป็นอุทยานซึ่งนับว่ามีความอุดมสมบูรณ์ และเป็นบ้านของพืชกว่า 1,000 ชนิด สายพันธุ์สัตว์ป่า 150 ชนิด เช่น ลิงเสฉวนสีทอง, แพะภูเขา, กระรอกบิน ฯลฯ และยอดเขาซึ่งมีหิมะตกตลอดทั้งปี มีความสูงถึง 4,860 เมตร เราเริ่มต้นโดยการนั่งรถประจำทางในอุทยานชมทะเลสาบข้างทาง ยังไม่ถึงปลายทางก็มีอะไรน่าดูชมแล้ว นี่แหละน่าที่เขาว่าบางทีปลายทางอาจไม่สำคัญเท่าระยะทางก็เป็นได้ แต่ที่ชอบมากๆ เลยก็คือ ทะเลสาบลิงขนทอง สวยจัดปลัดบอกเลยหละ
ในอดีตพื้นที่บริเวณนี้เป็นเส้นทางที่กองทัพ แดงของท่านเหมา เจ๋อตุง ใช้เดินทัพผ่าน จัดเป็นสถานที่ในอดีตที่แฝงไปด้วยประวัติศาสตร์อีกด้วย
ถัดจากนั้นจึงเริ่มนั่งกระเช้า ขอบอกว่าตั้งแต่ก้าวเท้าขึ้นบนกระเช้าก็สวยจนแทบลืมหายใจ นั่งชมภูเขาน้ำแข็งหิมะ 3 ลูก ที่เชื่อกันว่าเป็นสันหลังของมังกร ที่มีความงดงาม ยิ่งหน้าหนาว หิมะขาวโพลนปกคลุมไปทั่ว ภูเขาแห่งนี้
พอถึงข้างบนบอกเลยว่า โอ้โห สวยงามมาก แต่ก็จะตื่นเต้นกับหิมะแค่ 1 ชั่วโมงแรกเท่านั้นแหละ ถัดจากนั้นคือถ่ายรูปและตื่นเต้นกับวิวแทนซะงั้น ก็จะสวยประมาณนี้หละ
ครั้งนึงในชีวิตฉันเคยพิชิต "อุทยานสวรรค์ภูผาหิมะการ์เซีย ต๋ากู่ปิงชวน "
จากนั้นเมื่อเสพน้ำแข็ง หิมะ ความหนาว จนฟิน ก็ได้เวลาเดินทางกลับ ไปเมืองเม่าเซี่ยน ที่พักกายพักใจของเราจ้า ปิดท้ายด้วยการกินอาหารแบบหิวจัดเพราะเหนื่อย(เที่ยว) เตรียมพร้อมเข้าสู่วันที่ 3 กัน
ถนนควานจ๋าย หรือซอยแคบ-กว้าง
มารีวิวเฉิงตูกับเช้าวันใหม่ หลังจากที่ตื่นเช้ามาพร้อมกับหัวใจอันเบิกบานและกระเพาะที่อิ่มท้อง ก็ได้เวลาเข้าสู่เมืองเฉิงตู เมืองเอกของมณฑลเสฉวน เมืองที่เป็นศูนย์กลางด้านการเมืองการทหารและด้านการศึกษาของภูมิภาคตะวันตกเฉียงใต้ (ใช้เวลาเดินทางประมาน 3 ช.ม.) เมื่อถึงแล้ว ก็แวะเติมพลังก่อนจะไปตะลุยสถานที่ฉบับคนเมืองยามบ่าย กันบ้างกับ ถนนควานจ๋าย หรือซอยแคบ-กว้างได้รับขนานนามว่า เป็นถนนโบราณโรแมนติก บ้านหลายหลังยังคงสไตล์ความเป็นจีนแบบโบราณ ในอดีตเคยเป็นบ้านของนายทหารท่านนึง แต่ปัจจุบันเปลี่ยนเป็นถนนคนเดินขายของที่ระลึกของกิน โรงละคร พิพิธภัณฑ์ ฯลฯ ถนนแบ่งเป็น 2 สาย มีทั้งซอยกว้างและซอยแคบตามชื่อ เที่ยวถนนเดียวได้อะไรหลายๆ อย่าง ก็มีช้อปปิ้ง ทานของกินตามถนนตามประสานั้นแหละจ้า กว่าจะเที่ยวเสร็จก็ล่อไปเย็นเกือบค่ำแล้ว ก็ได้เวลาทานอาหารและเปลี่ยนที่พักจากเมืองเม่าเสี่ยนไปพักในเมืองเฉิงตูแทนเพื่อเตรียมพร้อมกับการทัวร์เมืองเฉิงตูในวันสุดท้ายจ้า
หนาวจังเลย บรึ๋ยยย
ศิลปะ+กำแพงเมืองเก่า
วาดซะเหมือนเชียว
วัดเหวินซู
วันที่ 4 นี่ก็จะไปหลายๆ ที่หน่อย ก่อนไปก็เช่นเคยเพราะต้องลุยหลายแห่งจึงต้องทานอาหารเช้ากันก่อน วันสุดท้ายก็ต้องเริ่มต้นด้วยการเข้าวัดสิจริงมั้ย? กับ วัดเหวินซู ซึ่งเป็นวัดพุทธเก่าแก่ที่คงความดั้งเดิมเอาไว้มากที่สุดในนครเฉิงตู รวมถึงเป็นศูนย์กลาง ของสมาคมชาวพุทธของมณฑลเสฉวน สร้างขึ้นในสมัยราชวงศ์ถัง เดิมทีเรียกว่า วัดซินเซียง ตำนานเล่าว่า วัดแห่งนี้มีการปรากฏรูปของโพธิสัตว์มัญชูศรีในเปลวเพลิงขณะที่ศพท่านพระอรหันต์ซีตู้ถูกเผาเป็นเวลานาน ดังนั้นผู้คนจึงกล่าวขานกันว่า พระอรหันต์ ซีตู้คือ พระโพธิสัตว์มัญชูศรีกลับชาติมาเกิด วัดซินเซียงจึงได้เปลี่ยนชื่อมาเป็นอารามเหวินชูนับแต่นั้นมา นอกจากความศักดิ์สิทธิ์ตามตำนานดังกล่าวแล้ว ศิลปะอันล้ำค่า สมัยราชวงศ์ถังและซ้องและรวมถึง ภาพเขียนกว่า 500 ชิ้น งานเขียนลายมือในงานสำคัญ ซึ่งถูก เก็บไว้อย่างดี รวมถึงความร่มรื่นภายในวัด ก็เป็นสิ่งดึงดูดกับท่องเที่ยวไม่น้อยได้เดินทางมาเยี่ยมชมที่นี่
ตั้งใจอธิษฐานสุดๆ
ศาลเจ้าสามก๊ก
สถานที่ต่อมาก็ถือว่าเป็นความใฝ่ฝันของเราเลยก็ว่าได้ ที่นั้นก็คือศาลเจ้าสามก๊ก เนื่องจากวรรณกรรมเรื่องนี้เชื่อว่าคนไทยหลายคนคงเรียนผ่านมากันมาบ้าง ผ่านเข้าไปกราบไหว้นี่รู้สึกอย่างกับอยู่ในเรื่องสามก๊กเลยหละ ขนลุกเว่อร์ ข้างในก็จะมีรูปปั้นของขงเบ้ง ยอดกุนซือคู่บุญของพระเจ้าเล่าปี่ตัวละครเอกจากสามก๊ก ศาลเจ้าสามก๊กแห่งนี้เป็นผลงานการก่อสร้างที่ปรับปรุงในปี ที่ 11 ของจักรพรรดิคังซีแห่งราชวงศ์ซ่ง และศาลเจ้าแห่งนี้ได้รับการยกย่องเป็นโบราณสถานแห่งชาติของจีน เมื่อปีค.ศ.1961 และได้สร้างเป็นพิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติเมื่อปี ค.ศ.1984 ด้วย
ถนนคนเดินจิ๋นหลี่
กราบไหว้กันจนบุญล้น แล้วก็จะแวะช้อปแวะกินนามบ่ายกันซะหน่อยกับ ถนนคนเดินจิ๋นหลี่ Jin Li ถนนสายนี้เป็นถนนโบราณ ในอดีตเคยโรงงานผลิตผ้าไหมใหญ่ที่สุดในจีน ปัจจุบันได้เปลี่ยนเป็นถนนช้อปปิ้งแหล่งสวรรค์ของนักกินไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ถนนโบราณสายนี้เมื่อไปถึงก็รู้สึกเลยว่ากลิ่นอายความคลาสสิคลอยเเตะจมูกเลยหละ (แต่สู้กลิ่นอาหารไม่ได้) นอกจากอาหารแล้ว ยังแผงลอยแสดงงานฝีมือหลายชิ้นรวมถึงของที่ระลึกอีกด้วย
น่ากินจัง
ที่เห็นอยู่คือเนื้อกระต่ายนะ ถึงจะแปลกแต่อร่อยดีนะ
อร่อยไปมั้ยจ้ะ? อาหารในถนนคนเดินจินลี่ยังมีอีกเยอะ ไปอ่านต่อกันได้ที่นี่ >>
สแกนแบบ QR Code ได้ด้วย!! สะดวกมว๊ากก
ที่นี่เขาอนุรักษ์ความเป็นอยู่วิถีชีวิตแบบโบราณได้ดีเลยนะ มีร้านค้าเล็กๆ ตั้งเรียงรายอยู่ตลอดสายให้เดินช้อปกันเพลินๆ โชว์ที่เด่นๆ เลยก็คือ "โชว์เปลี่ยนหน้ากาก" ซึ่งที่นี่คือที่สุดละสำหรับโชว์นี้ ก็สามารถหาชมได้บนถนนสายนี้ ร้านหนังสือ ผับ บาร์ ร้านกาแฟ ล้วนแต่มองหาได้จากถนนโบราณสายนี้
สตาร์บัคแบบจีนๆ ก็มา
ถนนคนเดินชุนซีลู่
เรียกว่าช้อปเพลินจนลืมเวลาถึงตอนเย็นเกือบค่ำพอดี ก็แวะเติมพลังมื้อค่ำกันอีกซะหน่อย กินอิ่มแล้วก็ได้เวลาช้อปซื้อของฝากกันที่ ถนนคนเดินชุนซีลู่ มีชื่อเสียงของเฉิงตูเป็นแหล่งศูนย์รวมช้อปปิ้งของแหล่งวัยรุ่นชื่อดัง และเป็นที่ตั้งของตึกสูงรูปทรงทันสมัยมากมาย รวมถึงห้างสรรพสินค้าชื่อ ดัง เช่น ISETAN และร้านค้ามากมาย อาทิ ZARA, H&M, UNIQLO เดินช้อปเพลินจนเงินเหลือแค่ไม่กี่หยวนเลยจ้า
ค่ำแล้ว ได้เวลาบอกลาเเล้วสิเนี้ยะ
เซนจูรี่ โกลบอล เซนเตอร์
ปิดท้ายด้วยอาคารที่ใหญ่ที่สุดในโลก เซนจูรี่ โกลบอล เซนเตอร์ (Century Global Center) เทียบขนาด ประมาณ 20 ซิดนีย์โอเปร่า หรือ 3 เท่าของเพนตากอน เป็นศูนย์รวมความบันเทิงแห่งใหม่ในเมืองเฉิงตู ประกอบด้วยหมู่บ้านเมดิเตอร์เรเนียน สวนน้ำ ลานสเก็ตน้ำแข็ง โรงหนัง ศูนย์การค้า และโรงแรมจำนวนมาก ครบวงจรฯ ในอาคารเดียว ใหญ่โตมโหฬารจริงๆ
เป็นยังไงกันบ้างกับรีวิวเฉิงตูที่เรานำมาฝากกัน น่าไปซะขนาดนี้ แพลนทริปไปเที่ยวเฉิงตูกันเลยจ้า
แชร์ บทความนี้
พูดคุย เกี่ยวกับบทความนี้